สรุปข่าวการลงทุนหุ้น วันที่ 26 สิงหาคม 2558



** ดาวโจนส์ - 204.91 จุด / 15.666.44 **
น้ำมัน+  1.07 ดอลลาร์ / 39.31
ทองคำ - 15.30 ดอลลาร์ / 1,138.30

น้ำมันขึ้น-ทองลง จีนหั่นดอกเบี้ยแต่หุ้นสหรัฐฯยังไม่ฟื้นปิดลบแรง

เอเอฟพี - ราคาน้ำมันเมื่อวันอังคาร(25ส.ค.) ฟื้นตัวเล็กน้อย หลังร่วงหนักหนึ่งวันก่อนหน้านี้จากความกังวลต่อภาวะเปราะบางของเศรษฐกิจจีน อย่างไรก็ตามปัจจัยดังกล่าวยังห้อมล้อมตลาดทุนสหรัฐฯและฉุดให้วอลล์สตรีทปิดลบหนักต่ออีกวัน ส่วนทองคำปิดลบแรงจากดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น
      
       น้ำมันดิบเวสต์เทกซัสอินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนตุลาคม เพิ่มขึ้น 1.07 ดอลลาร์ ปิดที่ 39.31 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังร่วงลงต่ำกว่า 40 ดอลลาร์เป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปีเมื่อวันจันทร์(24ส.ค.) ส่วนเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน เพิ่มขึ้น 52 เซนต์ ปิดที่ 43.21 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
      
       นักวิเคราะห์มองว่าตลาดยังคงพุ่งเป้าไปที่กำลังผลิตอันแข็งแกร่งของเหล่าประเทศสมาชิกโอเปก โดยเฉพาะซาอุดีอาระเบีย เช่นเดียวกับสหรัฐฯ หลังจากก่อนหน้านี้โอเปกปฏิเสธลดกำลังผลิตขณะพยายามรักษาส่วนแบ่งตลาด ส่วนอเมริกาก็ไม่ยอมลดกำลังผลิตเช่นกันแม้เผชิญกับภาวะตกต่ำของราคาน้ำมัน
      
       ขณะเดียวกันนักลงทุนยังจับตาไปที่รายงานคลังสำรองทางปิโตรเลียมรายสัปดาห์ของกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ที่มีกำหนดเผยแพร่ในวันพุธ(26ส.ค.) ซึ่งจะบ่งชี้ถึงทิศทางของอุปสงค์ภายในชาติผู้บริโภครายใหญ่ของโลกแห่งนี้
      
       ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อวันอังคาร(25ส.ค.) ปิดลบเป็นวันที่ 6 ติดต่อกัน แม้มีทีท่าฟื้นตัวในตอนเช้า โดยนักวิเคราะห์มองว่ายังคงอกสั่นขวัญแขวนจากการที่ดาวโจนส์ร่วงลงหนักกว่า 1,000 จุด ในช่วงหนึ่งของการซื้อขายวันจันทร์(24ส.ค.)
      
       ดาวโจนส์ ลดลง 204.91 จุด (1.29 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 15.666.44 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 25.60 จุด (1.35 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,867.61 จุด แนสแดค ลดลง 19.76 จุด (0.44 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 4,506.49 จุด
      
       ตลาดหุ้นสหรัฐฯเปิดตลาดในแดนบวกและทรงตัวอยู่อย่างนั้นเกือบตลอดทั้งวัน ทว่าได้แกว่งตัวสู่แดนลบในชั่วโมงสุดท้ายของการซื้อขาย เหตุเพราะวอลล์สตรีทยังคงอกสั่นขวัญแขวนจากการร่วงลงอย่างหนักเมื่อเร็วๆนี้ โดยเฉพาะในวันจันทร์(24ส.ค.) ที่เห็นดาวโจนส์ ดิ่งลงในช่วงหนึ่งของการซื้อขายมากกว่า 1,000 จุด
      
       บิล ลินซ์ ผู้จัดการด้านการลงทุนของฮินส์เดล แอสโซซิเอทส์ ให้ความเห็นว่า "ความกังวลยังคงแผ่ซ่านตามหลังสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ผมไม่สามารถคาดคะเนได้ว่าตลาดในวันพรุ่งนี้หรือสัปดาห์หน้าจะเป็นอย่างไร แต่แน่นอนว่ามันคงผันผวน อย่างไรก็ตามผมหวังว่า 2 หรือ 3 เดือนผ่านไป ตลาดจะคืนสู่ภาวะเสถียร"
      
       การปรับลดของตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีขึ้นแม้ว่าธนาคารกลางของจีน เมื่อวันอังคาร (25 ส.ค.) ดำเนินการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายและอัตราเงินสำรองของธนาคารพาณิชย์ ในมาตรการล่าสุดที่มีเป้าหมายกระตุ้นเศรษฐกิจหมายเลข 2 ของโลก ขณะที่พวกเขากำลังต่อสู้กับการพังครืนของตลาดหุ้น ความเคลื่อนไหวที่ช่วยพยุงให้ตลาดทุนอื่นๆฟื้นตัว
      
       อย่างไรก็ตามด้วยความเคลื่อนไหวลดดอกเบี้ยของจีนช่วยก่อความเสถียรแก่ตลาดอื่นๆทั่วโลกและดันดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ก็ฉุดให้ทองคำขยับลง 2 วันติดต่อกันเมื่อวันอังคาร(25ส.ค.) แตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 1 สัปดาห์ โดยทองคำตลาดโคเม็กซ์ ลดลง 15.30 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,138.30 ดอลลาร์ต่อออนซ์



** กองทุนตัวแสบ! **
2015-08-26

เจาะกระดานหุ้น: โมนิก้าและทีมงาน

*มีหลายคนถามความคิดเห็นของ “โมนิก้า” ที่มีต่อกองทุนในประเทศว่าจะเป็นไปในทิศทางไหน? เดี๊ยนขอเรียนตามตรงว่า มีแนวความคิดที่ไม่ค่อยจะสู้ดีสักเท่าไหร่! เพราะมีข้อมูลยืนยันว่า กองทุนเป็นหนึ่งในต้นเหตุที่ทำให้หุ้นร่วงลงหนักในช่วงที่มา บวกกับคำพูดที่มักได้ยินเป็นประจำจากปากผู้จัดการกองทุนก็คือ หุ้นไทยราคาถูกมากๆ  เหมาะต่อการเข้าลงทุนจริงๆ แต่พอเผลอปุ๊บ กองทุนสาดหุ้นออกมาปั๊บ..มันไม่แฟร์นะคะ

*ที่สำคัญคือ กองทุนเล่นบทสองหน้ามาเป็นเวลานานพอสมควร จนไม่รู้ว่า ครั้งไหนพูดจริง หรือครั้งไหนพูดหลอก แต่ที่สัมผัสได้หลายครั้งคงหนีไม่พ้นเรื่องออกทาร์เก็ตฟันด์ ในช่วงที่หุ้นตกแรงเป็นประจำ และหลังจากนั้นก็ปิดกองได้ตามระเวลา 5-8 เดือน “โมนิก้า” ถือเป็นความสามารถในการทำกำไรในช่วงตลาดหุ้นผันผวนที่ยอดเยี่ยมซึ่งแมงเม่ายากจะลอกเลียนแบบเจ้าค่ะ

*คิดดูง่ายๆ ก็คือ ดัชนีเด้งขึ้นมาปิดที่ 1,323.88 จุด บวกไป 22.82 จุด ทั้งที่ในระหว่างวันรูดลงไปกองจุดต่ำสุดที่ 1,292.14 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่มากถึง 6 หมื่นล้านบาท โดยฝรั่งตาน้ำข้าวยังสาดหุ้นออกมาอีก 3.30 พันล้านบาท แมงเม่าขายหุ้นทิ้งแค่ 900 ล้านบาท ขณะที่กองทุนเก็บหุ้นใส่พอร์ต 3.10 พันล้านบาท และปอบผีฟ้าเข้ามาเก็บ 1 พันล้านบาท คิดว่าใครเป็นคนดันดัชนี?

*ด้วยเหตุนี้ถึงทำให้ “โมนิก้า” ไม่ค่อยชอบท่าทีของกองทุนสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่สิทธิ์ไปห้ามปรามในการกระทำดังกล่าว และทำได้แค่ให้ความรู้กับแฟนคลับเพื่อจะได้รู้เท่าทันมุกดังกล่าว พร้อมกันนั้นก็ขอยืนยันเป้าในการทำกำไรหุ้นขนาดใหญ่เที่ยวนี้ยังอยู่แค่ระดับ 5-7% หลังข้อมูลสถิติยืนยันว่า วงรอบของการรีบาวด์ทำได้แค่นี้จริงๆ ไม่มีความจำเป็นต้องทนฝืนถือหุ้นต่อไปนะจะบอกให้

*เนื่องจากเคล็ดลับในการลงทุนเที่ยวนี้ว่ากันด้วยเรื่อง “ขายหมูไปเรื่อยๆ ดีกว่าขายขาดทุนไปเรื่อยๆ” ซึ่งเป็นการตอกย้ำกลยุทธ์การเอาตัวรอดในภาวะผันผวนได้เป็นอย่างดี “โมนิก้า” ถึงอยากให้แฟนคลับพิจารณาถึงเหตุผลในการเข้าซื้อหุ้นขนาดใหญ่ มันคุ้มค่ากับความเสี่ยงที่จะได้รับขนาดไหน? เพราะหากเชื่อว่า นี่คือโอกาสทองในการโหนกระแสทำกำไรสั้นๆ ต้องเล่นหนักๆ ก่อนกองทุนจะไหวตัวนะนายจ๋า!

*เหมือนกับในรายของ PTT และ KTB เด้งขึ้นมาปิดที่ 252 บาท บวกไป 12 บาท หรือขึ้นไป 5% และรายหลังเด้งขึ้นมาปิดที่ 17.90 บาท บวกไป 0.90 บาท หรือขึ้นไป 5.30%  “โมนิก้า” ขอถามหน่อยเถอะ! หากกองทุนตัวแสบไม่เข้ามาเก็บหุ้น พ่อพระเอกสองตัวนี้จะมีโอกาสผงกหัวขึ้นได้เหรอ? วันนี้ถึงต้องมานั่งถามถึงจุดยืนของผู้เล่นที่กระโจนเข้ามาใหม่ว่า ไวพอที่จะทำกำไรไหม?..อิอิอิ

*งานนี้ไม่ต้องการชักใบให้เรือเสีย แต่อยากบอกเล่าถึงประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้นกับ IFEC ซึ่งทุกคนต่างรู้ดีว่า ทุกอย่างเริ่มดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม แต่หุ้นกลับโดนสาดเหมือนกับคนที่ไม่เคยมีเยื่อใยให้แก่กัน แต่ล่าสุดหุ้นก็วิ่งขึ้นมาปิดที่ 10.10 บาท บวกไป 0.40 บาท หรือขึ้นไป 4% ด้วยมูลค่า 2.50 พันล้านบาท มันสามารถมองถึงเป้าเบื้องต้น 12 บาทได้เหมือนเดิม แต่จะไปถึงหรือเปล่า? มันเป็นเรื่องที่ต้องคิด เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อนทำให้รู้ว่า มีคนตัดขายหุ้นออกมาเยอะมากนะจะบอกให้

*อีกหนึ่งเครื่องเตือนใจก็คือ GL ยังคงถูกกระหน่ำเทขายหุ้นต่อไปอย่างไม่ลดละ ทั้งที่สถานการณ์หลายอย่างดีขึ้นอย่างช้าๆ “โมนิก้า” ถึงค่อนข้างงุนงงว่า ทำไมหุ้นตัวนี้โดนจัดหนักเหลือเกิน จากหุ้นที่เคยยืดหยัดที่ 16 บาท วานนี้กลับโดนกดลงมาอยู่ที่ 12.50 บาท ลบไป 1.10 บาท หรือลงไป 8% มันกลายเป็นปัญหาที่แมงเม่าต้องไปขบคิดกันเอาเองว่า จุดเด้งกลับตรง 12 บาทเอาอยู่ไหม? หากเอาไม่อยู่จริงๆ จุดเด้งกลับที่ 2 ตรงบริเวณ 10 บาทน่าสนหรือเปล่า? มันเป็นเกมที่ต้องคิดทั้งสิ้นเจ้าคะ

*ถ้าตัวอย่างดังกล่าวยังไม่ชัดเจน “โมนิก้า” ขอแนะนำให้แฟนคลับย้อนกลับไปมอง PK เพื่อทำให้ทุกคนหลุดจากภวังค์เสียที เพราะของมันเห็นกันมาตั้งแต่ต้นแล้วว่า นี่คือเกมหุ้น! ปัจจัยพื้นฐานถูกตั้งอยู่บนความคาดหวัง และยังมีคนคอยเติมหัวเชื้อให้ดูน่าเชื่อถือเป็นระยะ วานนี้ถึงเห็นหุ้นเด้งขึ้นมาปิดที่ 5.60 บาท บวกไป 0.50 บาท หรือขึ้นไป 10% ด้วยมูลค่า 370 ล้านบาท ทั้งที่ก่อนหน้านี้หุ้นอยู่ที่ 8 บาท บวกกับไซเคิลเป็นลักษณะไซด์เวย์ดาวน์ ต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษนะจ๊ะ

*อ้อ..เกือบลืมเม้าท์ถึงคู่หูต่างวัยอย่าง PTTGC กับ IRPC เพราะทั้ง 2 ตัวเกาะกระแสรีบาวด์ได้อย่างเด็ดสะระตี่ รายแรกวิ่งขึ้นมาปิดที่ 54 บาท บวกไป 4.75 บาท หรือขึ้นไป 9.60% ส่วนรายหลังวิ่งขึ้นมาปิดที่ 3.52 บาท บวกไป 0.30 บาท หรือขึ้นไป 9.30% “โมนิก้า” ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่กองทุนพยายามปลุกปั้นขึ้นมาเล่นใหม่อีกรอบ ส่วนจะไปได้ไกลแค่ไหน คงขึ้นอยู่กับแรงซื้อของบรรดากองทุนเป็นหลัก และเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องแสดงอาการตื่นเต้น เพราะของมันเห็นกันจนชินตาแล้วล่ะค่ะ

*ป.ล.วันนี้เดี๊ยนไม่ได้มีหน้าที่ห้ามปรามการเข้าซื้อหุ้น แต่ที่ต้องย้ำกันแรงๆ เป็นพิเศษ เพื่อเตือนสติให้รู้ว่า นี่คือ “มันนี่เกม” จึงต้องเผื่อทางหนีทีไล่ให้กับตัวเอง พร้อมกับขอวิงวอนให้เลิกโลกสวยเสียที เพราะสิ่งที่เห็นเวลานี้ ล้วนเป็นเกมโหดที่ทุบกันเกือบตายนะตัวเอง



** สังคมข่าวหุ้น **
2015-08-26

*หุ้นเด้งตามตลาดหุ้นทั่วโลก บวกกับรับข่าวดีงบกระตุ้นเศรษฐกิจ

*ตลาดหุ้นทั่วเอเชียฟื้นตัว หลังจากถูกแรงเทขายมากเกินไป รวมทั้งตลาดหุ้นไทยวานนี้ ที่ปิดบวกไปกว่า 22 จุด ยืนเหนือ 1,323 จุดได้ ขณะที่กลุ่มแบงก์พาณิชย์เด้งรับแผนกระตุ้นการใช้จ่ายภาครัฐที่จะเสนอครม.สัปดาห์หน้า กลุ่มค้าปลีก ธนาคารพาณิชย์ ยังเป็นหุ้นในกลุ่มที่น่าจะได้ประโยชน์โดยตรงจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระดับรากหญ้า ที่คาดว่าจะได้รับเม็ดเงินลงทุนกว่า 5 หมื่นล้านบาท โดยเฉพาะแบงก์รัฐ อย่าง KTB ราคาเด้งหลังจากที่อดีตเอ็มดีได้ไปนั่งคุมคลัง

*แต่หุ้นกลุ่มสื่อสารยังไม่ฟื้น แม้นายกฯจะบอกว่าประมูล 4 จีไม่ต้องรอเศรษฐกิจดิจิตอลที่หม่อมอุ๋ยเคยผลักดันไว้ก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะ ทรูยังไม่ไปไหน รอลุ้นผลประกอบการงวดครึ่งปีหลัง

*แผนกระตุ้นเศรษฐกิจ จะเข้าครม.สัปดาห์หน้า มีวงเงินตุนไว้ในงบกลาง 5 หมื่นล้านบาท สำหรับไว้หว่านลงรากหญ้า ที่คอยฟ้าคอยฝนมานาน งานนี้สมคิดยืมกลยุทธ์สมัยไทยรักไทยมาใช้ แต่ก็ไม่ว่ากัน ถ้าได้ผลก็ใช้ไปเลย ส่วนปลัดคลังคนใหม่โผไม่พลิก “สมชัย สัจจพงษ์” งานนี้ตั้งไว้รับนโยบายกระตุ้นเต็มสูบ

*โบรกแนะนำหุ้นรับอานิสงส์จากนโยบายรัฐบาล เจาะจงไปที่กลุ่มรับเหมา-วัสดุก่อสร้าง CK, STEC ธนาคาร KTB, KBANK ค้าปลีก CPALL, HMPRO, GLOBAL, ROBINS

*AJD ออกแนวรีบาวด์แรงหลังจากที่ลงแรงกว่าเพื่อนหวังว่าพระเอกตัวจริงจะไม่ทำให้แฟนคลับผิดหวัง

*SPA อาการน่าเป็นห่วงตั้งแต่เกิดเหตุวางระเบิดบริเวณแยกราชประสงค์ จนถึงวันนี้ก็ยังไม่ฟื้น และลงหนักกว่าหลายๆ ตัว รวมทั้งหุ้นกลุ่มโรงแรมและท่องเที่ยว แต่ถ้ากลัวว่านักท่องเที่ยวจะหายไปช่วงไฮซีซั่นก็คงไม่ต้องกังวลมากนัก เพราะเดี๋ยวนี้นักท่องเที่ยวเขาเข้าใจสถานการณ์บ้านเราดีไม่กลัวมากอย่างที่เป็นห่วงกัน อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงเจรจาซื้อธุรกิจเข้ามาเพิ่มเติมทั้งในประเทศและนอกประเทศสวนทางภาวะอึมครึมอย่างมั่นใจ

*PTTGC ประกาศโครงการซื้อหุ้นคืน หลังพบว่าราคาหุ้นต่ำกว่าบุ๊คมากแล้ว เตรียมเงินสดๆ ไว้ 4.5 พันล้านบาท ยืนยันจะไม่กระทบต่อสภาพคล่องที่มีมากกว่า 4 หมื่นล้านบาทแน่นอน และแถมยังได้เงินปันผลเพิ่มขึ้นอีกหลังจากเข้าถือหุ้นเพิ่ม งานนี้ใครจะเอาอย่างก็ไม่ว่ากัน

*BECL ควบ BMCL เสร็จพ.ย.นี้แน่นอน ตั้งบริษัทใหม่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯหลังควบรวมกิจการปลายปีนี้ BECL ขายหุ้น BMCL ที่ 1.79 บาท ต้นทุน 1.14 บาท ทำให้บริษัทมีกำไรพิเศษจากการขายหุ้น BMCL ประมาณ 1 พันล้านบาท บันทึกกำไรในไตรมาส 3 ทันที

*TVD โดนพิษบึ้มราชประสงค์เลื่อนแผนการร่วมทุนกับพันธมิตรญี่ปุ่นในธุรกิจด้านการให้บริการไปเป็นช่วงไตรมาส 4 จากเดิมคาดว่าจะสรุปในไตรมาส 3 นี้ เนื่องจากพันธมิตรญี่ปุ่นยังไม่ไว้วางใจสถานการณ์ด้านความปลอดภัยในประเทศไทยหลังจากเกิดเหตุการณ์ระเบิดที่แยกราชประสงค์เมื่อสัปดาห์ก่อน ทำให้เลื่อนการเดินทางออกไปแต่ก็ยังมั่นใจว่าปีนี้จะมีกำไรสุทธิแน่นอน

*ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จับมือ 10 ธนาคารพาณิชย์และบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำ จัดงานเทศกาลลงทุนเปิดบัญชีหุ้นที่ธนาคารและบริษัทหลักทรัพย์ ภายใต้โครงการส่งเสริมช่องทางลงทุนผ่านผู้จัดการสาขาธนาคารพาณิชย์และช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ Banker to Broker วันที่ 27-30 ส.ค. ที่เดอะมอลล์บางแค

*บมจ. ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ประเทศไทย) หรือ TFEX จัดสัมมนาพิเศษ “Commodity Insights: The Rise of Global Rubber Demand” เตรียมพร้อมซื้อขายยางพาราล่วงหน้า หรือ RSS3 Futures ครั้งแรกใน TFEX ไตรมาส 4 ปีนี้ ชวนผู้ลงทุนเรียนรู้ปัจจัยกำหนดราคายาง สินค้าโภคภัณฑ์ที่ให้ผลตอบแทนเร็วและสูงที่สุด รวมถึงกลยุทธ์เทรดระยะสั้น และการบริหารความเสี่ยง โดย Mr.Dar Wong ผู้จัดการกองทุนและคอลัมนิสต์ด้านการเงินจากสิงคโปร์ ซึ่งมีประสบการณ์ในการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์กว่า 26 ปี วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม 2558 เวลา 09.00–11.30 น. ณ ห้องอเนกประสงค์ ชั้น 9 อาคาร 2 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

*หุ้นร้อนประจำวัน 25 ส.ค. 58 ที่มีราคาและมูลค่าซื้อขายปรับขึ้นแรงและอยู่ระหว่าง (Trading Alert List) และขยายช่วงดำเนินการ คือ บริษัท เอเซีย พรีซิชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ APCS ทำให้เข้าข่ายมาตรการกำกับการซื้อขายระดับ 1 ต้องใช้เกณฑ์ Cash Balance (ซื้อขายด้วยเงินสดทั้งจำนวน) มีผลตั้งแต่  26 ส.ค.-15 ก.ย. 2558



** PTTGC ทุ่ม 4.5 พันล้านซื้อหุ้นคืน!! **
โดย อินเด็กซ์ 51 26 ส.ค. 2558

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 25 ส.ค.58 ปิดที่ 1,323.88 จุด เพิ่มขึ้น 22.82 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 60,200.19 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 3,311.92 ล้านบาท

หุ้นที่ซื้อขายสูงสุด PTT ปิด 252 บาท บวก 12 บาท, IFEC ปิด 10.10 บาท บวก 0.40 บาท, TRUE ปิด 9.30 บาท ลบ 0.10 บาท, KTB ปิดที่ 17.90 บาท บวก 0.90 บาท และ KBANK ปิด 167.50 บาท บวก 4 บาท

บล.ฟิลลิปชี้หุ้นไทยดีดกลับมาปิดตลาดในแดนบวกได้ เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศ ถือเป็นการรีบาวด์กลับ หลังปรับตัวลงแรงวันก่อน แต่ยังไม่คาดหวังว่าจะมีการปรับขึ้นแรง เนื่องจากตลาดยังมีปัจจัยกดดันจากจีน!!

ขณะที่ผลจากการที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวดิ่งลงรุนแรงเกินกว่าเหตุ หุ้นพื้นฐานดี ราคาลงต่ำกว่าพื้นฐานที่ควรจะเป็น ส่งผลให้ล่าสุด บอร์ด PTTGC สุดทน ทุ่มเงิน 4.5 พันล้าน ซื้อหุ้นคืน 2% หวังพยุงราคา หลังยังมีเงินสดล้น

โดย “สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ PTTGC เผยว่า คณะกรรมการบริษัทเมื่อ 24 ส.ค. มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืน เพื่อบริหารทางการเงิน โดยจะซื้อหุ้นคืน 90 ล้านหุ้น หรือ 2% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว ซึ่งจะใช้วงเงินในการซื้อหุ้นคืนราว 4,500 ล้านบาท โดยจะซื้อหุ้นคืนผ่านตลาดหลักทรัพย์และมีกำหนดเวลาซื้อคืน 6 เดือน ตั้งแต่ 8 ก.ย.58 ถึง 7 มี.ค.59

เหตุผลที่ซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และภายหลังจากซื้อหุ้นคืนจะสนับสนุนให้ตัวเลขทางการเงินของบริษัทดีขึ้น ทั้งในส่วนของอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) และอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) สูงขึ้นด้วย

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบริษัทจะนำเงินมาซื้อหุ้นคืน ก็จะไม่มีผลต่อความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทที่จะครบกำหนดในอีก 6 เดือนข้างหน้า นับจากวันที่ซื้อหุ้นคืนที่มีประมาณ 1.10 หมื่นล้านบาท เพราะบริษัทมีเงินสดและสินทรัพย์สภาพคล่องส่วนเกิน ณ 30 มิ.ย.58 กว่า 3.9 หมื่นล้านบาทและมีกำไรสะสมอยู่ประมาณ 1.25 แสนล้านบาท

สาเหตุที่บริษัทประกาศซื้อหุ้นคืน เนื่องจากมองว่าราคาหุ้นปรับตัวลงต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี ที่ 52 บาทต่อหุ้น และมองว่าการเข้ามาซื้อหุ้นครั้งนี้จะได้รับผลตอบแทนการลงทุนรวมอยู่ที่ 6% ณ ราคาปัจจุบัน และเชื่อมั่นว่าบริษัทมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี รวมถึงการซื้อหุ้นครั้งนี้จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนทั่วไป ไม่ตื่นตระหนกขายหุ้นของบริษัทฯออกมา หลังตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลง

ล่าสุด บล.เอเซียพลัส แนะ “ถือ” PTTGC ให้มูลค่าพื้นฐาน สิ้นปี 58 ที่ 67 บาท....จบนะ!!

Share on Google Plus

About Admin

This is a short description in the author block about the author. You edit it by entering text in the "Biographical Info" field in the user admin panel.
    Blogger Comment
    Facebook Comment

0 comments :

Post a Comment