สรุปข่าวการลงทุนหุ้น วันที่ 20 สิงหาคม 2558




** ฝรั่งยังขายไม่เลิก!! **

โดย อินเด็กซ์ 51 20 ส.ค. 2558


ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 19 ส.ค.58 ปิดที่ 1,379.12 จุด เพิ่มขึ้น 6.51 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 46,232.53 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิต่ออีก 4,550.61 ล้านบาท

หุ้นที่ซื้อขายสูงสุด PTT ปิด 273 บาท ลบ 7 บาท, AOT ปิด 262 บาท ลบ 6 บาท, KBANK ปิด 173.50 บาท บวก 2.50 บาท, TRUE ปิด 9.95 บาท บวก 0.35 บาท และ IFEC-W2 ปิด 2.38 บาท บวก 0.16 บาท

บล.เอเซียพลัสชี้ว่า แรงซื้อกลับหุ้นในกลุ่มโรงพยาบาล ธนาคารพาณิชย์ ปิโตรเคมี และสื่อสาร หลังราคาลงแรงจนทำให้ค่า PE ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 15 เท่า เป็นระดับที่น่าสนใจสำหรับการเข้าซื้อเพื่อลงทุนระยะยาว แต่จากสถานการณ์เหตุระเบิดที่ยังไม่นิ่งพอ ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อบรรยากาศการลงทุน ที่อาจต้องใช้เวลาในการเรียกความเชื่อมั่นกลับคืน ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวยังเป็นปัจจัยกดดัน

ส่วนราคาน้ำมันโลกที่ยังลดลงยังกดดันหุ้นพลังงานต่อเนื่อง ดังนั้นช่วงนี้จึงยังแนะให้เลี่ยงการลงทุน

ขณะที่มองทิศทางตลาดระยะสั้น มีโอกาสรีบาวด์ต่อในกรอบจำกัด ได้ปัจจัยบวกจากการปรับ ครม.ใหม่ ที่ได้ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” เข้ามาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจแทน “ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล”

แนะกลยุทธ์ลงทุนช่วงนี้ ซื้อ ADVANC หุ้นปันผลสูง และได้ผลดีจากการประมูล 4G ด้านเทคนิคให้แนวรับ 1,370 จุด ส่วนแนวต้าน 1,390 จุด

ขณะที่ บลจ.กสิกรไทย หั่นเป้าดัชนีปลายปีนี้เหลือ 1,400-1,450 จุด หลังเศรษฐกิจโตได้ช้ากว่าที่คาด โดยเฉพาะการส่งออกและการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน ส่วนเหตุระเบิดราชประสงค์ ต้องรอดูสถานการณ์ว่าจะกลับสู่ภาวะปกติได้เร็วแค่ไหน เพื่อประเมินผลกระทบในระยะต่อไป แต่ได้ส่งผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว โรงแรม การบินและขนส่งบ้างแล้ว

แนะกลยุทธ์ลงทุน ผู้ลงทุนระยะสั้นที่รับความผันผวนได้น้อย ยังไม่แนะให้เข้าซื้อเพิ่ม ส่วนนักลงทุนระยะกลางถึงยาวที่รับความผันผวนได้สูง ทยอยเข้าซื้อบางส่วนได้ เพราะมองว่าระยะกลางถึงยาวหุ้นไทยยังน่าสนใจ จากราคาที่ลงมามากและความเสี่ยงที่จะลงไปมากกว่านี้มีอยู่จำกัด!!

ปิดท้ายโฟกัสหุ้น PTT บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็งแนะ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 394 บาท ตามด้วยดีบีเอสวิคเคอร์สให้เป้า 380 บาท ขณะที่โกลเบล็ก เคาะเป้า 352 บาท ส่วนทิสโก้ แนะแค่ “ถือ” ให้มูลค่าเหมาะสม 356 บาทเช่นเดียวกับซีไอเอ็มบี แนะถือ ให้ราคาเป้าหมาย 295 บาท!!



** สังคมข่าวหุ้น **

20/8/58

ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดการซื้อขายอยู่ที่ 1,379.12 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 6.51 จุด พ่วงด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.6 หมื่นล้านบาท

* ตลาดหุ้นไทยเด้งกลับขึ้นมาได้อีกรอบ หลังจากเมื่อวานโดนถล่มขายหนัก สำหรับกลุ่มเทขายสุทธิรอบล่าสุด ทางต่างชาติสาดออกกระจาย 4,550 ล้านบาท ตามด้วยบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ขายอีก 731 ล้านบาท ขณะที่ฝั่งซื้อสุทธิรายย่อยเดินหน้าเข้าลุยเก็บกันต่ออีก 2,621 ล้านบาท และสถาบันฯเข้าซื้อ 2,660 ล้านบาท

* ช่วงนี้รากฐานตลาดหุ้นไทยยังคงเปราะบาง หากมีข่าวร้ายเข้ามาสะเทือนหน่อยมีสิทธิทำให้ดัชนีออกอาการเซได้ทันที ดังนั้น ต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุนเป็นพิเศษ รวมถึงต้องปรับเปลี่ยนพอร์ตให้สอดคล้องต่อสถานการณ์

* เริ่มด้วยกลุ่มหุ้นแรกที่น่าสนใจ ขอเลือก IFEC-TRUE-TASCO ที่สร้างเซอร์ไพรส์ทำราคาหุ้นเด้งเร็วกันเป็นพิเศษ เรียกได้ว่า ราคาหุ้นที่เคยดิ่งถอยกันไป ใช้เวลาวันเดียวฟื้นกลับขึ้นมาได้หมดแล้ว

* มีข้อสังเกตที่น่าสนใจ ทั้งสามหุ้นล้วนมีสิ่งที่คล้ายกันอยู่หลายจุด เช่น เป็นหุ้นที่งบปี 58 มีโอกาสเติบโตทะลักตามพื้นฐานบริษัท และเป็นหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ระเบิดช่วงที่ผ่านมา

* ดังนั้น ราคาหุ้นสามเกลอจึงโดดเด่นเป็นพิเศษและได้แรงซื้อโถมใส่ทันทีตั้งแต่เปิดตลาดนั่นเอง ขณะที่ราคาหุ้นกระดานยังอยู่ในเกณฑ์น่าสนใจทั้งหมด ถ้าใครชอบสไตล์เน้นปลอดภัยแนะนำ TASCO แต่ถ้ารับความเสี่ยงได้จัดไป IFEC-TRUE ไม่ต้องรอช้า

* หุ้นจิ๋วแต่แจ๋วต้องนี่เลย TSR มีจุดน่าสนใจอยู่หลายมุม ว่ากันด้วยมุมแรกเชิงราคา เพราะล่าสุดปิดที่ 6.05 บาท อยู่ฐานแนวรับแบบพอดิบพอดี ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาหลังจากราคาไหลกลับมาอยู่ที่แถวนี้ มักจะทยอยฟื้นตัวกลับขึ้นไปหาแนวต้านแรก 6.20 บาท เป็นประจำ ถ้าผ่านไปได้มีสิทธิพบปะแนวต้านที่สอง 6.40 บาทเลยทีเดียว

* ที่สำคัญผลการดำเนินงานบริษัทดูแล้วยังสดใสแบบต่อเนื่อง ล่าสุด เห็นผู้บริหารมั่นอกมั่นใจว่า เป้าหมายรายได้ปีนี้ที่ตั้ง 1,500 ล้านบาท หรือเท่ากับโตขึ้น 25% จากปีก่อนมีโอกาสทำได้แน่นอน หลังจากออเดอร์งานลูกค้ายังคงไหลเข้ามาต่อเนื่องแบบไม่หยุด

* หุ้น AOT ยังคงดิ่งรูดหนัก จนถอยฉากกลับมาอยู่ที่ 262 บาท ดูสถานการณ์แล้วยังน่าเป็นห่วง ถ้าหากวันนี้ราคาหุ้นยังไม่สามารถดีดตัวกลับขึ้นมาได้ สงสัยมีสิทธิปรับตัวลงต่อกันไปอีกรอบ

* แน่นอน แม้ราคาหุ้น AOT ในกระดานจะดูเป็นที่น่าสนใจของใครหลายคน เพราะอยู่ในจุดต่ำสุดในช่วงรอบ 10-11 เดือน แต่เพื่อความปลอดภัย รอดูทิศทางให้ชัดเจนก่อนดีกว่า เพราะระยะสั้นหุ้นยังถูกปัจจัยลบกดดัน รอสถานการณ์คลี่คลายค่อยหาจังหวะ “ทยอยเข้าสะสม” ก็ไม่ช้าเกินไปหรอก

* เช่นเดียวกับเคสของ PTT หลังจากหลุดแนวรับใหญ่ 300 บาท ราคาหุ้นออกอาการปั่นป่วนหนักเลยทีเดียว ที่สำคัญงวดไตรมาส 3 ภาพรวมของตลาดค่อนข้างมองเชิงลบเป็นหลัก เนื่องจากหวั่นกลัวกับการบันทึกสต๊อกลอสของกลุ่มบริษัทลูกจะเป็นตัวป่วน ดังนั้น ในระยะสั้นคงยังไม่ใช่เวลาลงทุน

* ทิ้งท้ายด้วยหุ้นที่น่าสนใจในวันนี้อีก 2 บริษัท นั่นคือ SPALI และCSS เนื่องจากในวันนี้จะเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้เข้าซื้อหุ้นเพื่อรับปันผล เนื่องจากทั้งคู่มีกำหนดขึ้น XD ภายในช่วงวันที่ 21 ส.ค.นี้นั่นเอง

* โดยฝั่ง SPALI จ่ายปันผลได้น่าสนใจไม่เบาถึง 50 สตางค์ คิดเป็นดิวิเดนด์ยีลด์เกือบ 3% เลยแหละ ขณะที่ CSS จ่ายปันผล 10 สตางค์ ดิวิเดนด์ยีลด์เกิน 2% แต่ถ้าให้แนะนำขอเลือกให้น้ำหนักที่ CSS เป็นหลัก เพราะนอกจากซื้อเพื่อรับปันผลแล้ว แต่ในเชิงพื้นฐานและสตอรี่บวกระยะยาวยังมีรอหนุนหุ้นกันอีกเพียบ *



** จอมฉวยโอกาส ! **
2015-08-20
เจาะกระดานหุ้น: โมนิก้าและทีมงาน


*วานนี้เป็นอีกครั้งที่ “โมนิก้า” ต้องเสียเวลาไปกับการอ่านทฤษฎีการลงทุนในตลาดหุ้น wall street เพื่อเป็นแนวทางในการลงทุน เพราะสิ่งที่เห็น ณ เวลานี้มีอะไรหลายอย่างที่ตรงตามคำบอกเล่าในตำรา โดยเฉพาะคำฮิตประจำหมู่ผู้จัดการกองทุนก็คือ เมื่อใดที่กองทุนบอกให้ซื้อ เมื่อนั้นเป็นจังหวะขาย และเมื่อใดที่กองทุนบอกให้ขาย เมื่อนั้นเป็นจังหวะซื้อนะจะบอกให้

*เมื่อนำประเด็นดังกล่าวมาเชื่อมโยงรูปแบบการเล่นสั้นๆ ของบรรดากองทุน “โมนิก้า” เลยถึงบางอ้อในทันที และไม่แปลกใจที่กองทุนหวนกลับเข้ามาซื้อ 2.66 พันล้านบาท หลังจากวันก่อนสาดหุ้นออกมา 1.20 หมื่นล้านบาท มันคือกลยุทธ์ขายเพื่อไปรับที่ต่ำกว่า หรือภาษาอังกฤษเรียกรูปแบบนี้ว่า short against port ทิศทางของตลาดหุ้นไทยเลยอยู่ในกำมือของกองทุนอย่างเบ็ดเสร็จไงล่ะค่ะ

*งานนี้ไม่ต้องไปวิเคราะห์ประเด็นอื่นให้เสียเวลา เพราะเท่าที่เห็นมาตั้งแต่ต้นปี 58 กองทุนใช้นโยบายการลงทุนแบบนี้มาตลอด และการที่ดัชนีวิ่งขึ้นมาปิดที่ 1,379.12จุด บวกไป 6.51 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.62 หมื่นล้านบาท ก็สอดคล้องกับเหตุผลข้างต้นที่เกริ่นนำไว้ “โมนิก้า” ถึงอยากให้แฟนคลับเข้าใจอารมณ์ในการลงทุนแต่ละช่วงเวลา เพื่อกำหนดโพสิชั่นของตัวเองให้ชัดเจนเจ้าค่ะ

*เหมือนกับการถีบตัวขึ้นของ MINT ขึ้นมาปิดที่ระดับ 24.50บาท บวกไป 0.80 บาท หรือ 3.40% ด้วยมูลค่า 950 ล้านบาท มันน่าจะมาจากฝีมือของกองทุนและการซื้อกลับในเที่ยวนี้ ก็เป็นการทำกำไรในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน ผู้จัดการกองทุนเลยรับความดีความชอบไปเต็มๆ “โมนิก้า” ถึงอยากให้นักเล่นตามเกมให้ทัน จังหวะไหนมีโอกาสสาดหุ้นเอากำไรมาก่อน ก็รีบทำไปเลยนะจ๊ะ

*เช่นเดียวกับในรายของ KBANK  SCB  KTB  BBL ล้วนอยู่ภายใต้อุ้งมือนักลงทุนสถาบันฯ ครั้งใดที่พร้อมใจกันซื้อ หุ้นแบงก์ก็วิ่งระเบิดเถิดเทิง แต่ครั้งใดที่เสียงเริ่มแตก หุ้นก็แกว่งตัวลงเป็นหลัก ซึ่งเป็นภาพที่พบเห็นได้เป็นประจำ และไซเคิลดังกล่าวก็เกิดขึ้นให้เห็นมาแล้วหลายรอบ วันนี้ถึงพอเดาทางได้ว่า เมื่อใดที่หุ้นกลุ่มนี้ทะยานขึ้น 5-7% หลังจากนั้นจะโดนเทขายในทันที..เชื่อน้องโมเถอะ เพราะของมันเห็นกันจนชินตาเจ้าค่ะ

*อีกหนึ่งรายที่อยู่ในข่ายกองทุนเล่น ขาใหญ่ชอบ แมงเม่าตาม คงไม่มีใครเกินกว่า ITD ซึ่งงานนี้ไม่รู้ว่า ใครได้.. ใครเสีย เพราะแต่ละฝ่ายจ้องจะสาดหุ้นใส่กันตลอดเวลา หุ้นถึงไปไหนได้ไม่ไกลสักที! ล่าสุดหุ้นวิ่งขึ้นมาปิดที่ 7.20บาท บวกไป 0.05 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 630 ล้านบาท มันเป็นการส่งสัญญาณให้รู้ว่า รอคนมาเป็นเจ้าภาพเปิดงานเลี้ยงแบบนี้..มันไม่เวิร์กแล้วล่ะค่ะ

*ผิดกับในรายของ QH เริ่มมีการเคาะๆ ดันๆ ให้เห็นกันบ้างแล้ว แต่ต้องดูกันต่อไปว่า กองทุนจอมแสบจะเล่นด้วยอะป่าว? และรูปแบบการเล่นจะยาวแค่ไหน? ล้วนเป็นข้อมูลที่นักเล่นควรจะรู้ไว้บ้าง ถ้าไม่รู้จริงๆ ก็ไม่เป็นไร   เพราะแค่ทำตัวเป็นนักฉวยโอกาสเสียบ้าง โอกาสของการลงทุนก็เปิดรับในทันที ล่าสุดหุ้นวิ่งขึ้นมาปิดที่ 2.32บาท บวกไป 0.12บาท หรือขึ้นไป 5.50% ด้วยมูลค่า 140 ล้านบาท มีลุ้นไปถึง 2.50 บาทค่อนข้าง หลังทำ double top ให้เห็นแล้วนะซี

*ไหนๆ เม้าท์ถึงเรื่องนี้นักฉวยโอกาสขึ้นมาทั้งที “โมนิก้า” ขอเม้าท์มอยด์ถึงสถานการณ์ของหุ้น EIC เพื่อให้แฟนคลับขาลุยได้อัพเดตสถานการณ์ของข่าวลือในท้องตลาดอีกสักเล็กน้อย เพราะกระแสเรื่องการสวมธุรกิจมันแรงเสียเหลือเกิน และดูเหมือนจะมีการจุดชนวนประเด็นนี้เป็นระยะ วานนี้ถึงเห็นหุ้นวิ่งขึ้นมาปิดที่ 2.04บาท บวกไป 0.30บาท หรือขึ้นไป 17% ด้วยมูลค่า 370 ล้านบาท มันทำให้นักเล่นต้องไหลตามน้ำในทันทีไงล่ะค่ะ

*เช่นเดียวกับกรณีของ AJD ซึ่งได้ขุมกำลังนักลงทุนรายใหญ่เข้ามาเป็นแบ็กอัพ! บวกกับมีการตรวจแถวแนวรบทุกขั้วเป็นประจำ ทรงของหุ้นถึงยังดูดีเหมือนเดิมทุกประการ ล่าสุดหุ้นวิ่งขึ้นมาปิดที่ 1.50บาท บวกไป 0.10บาท หรือขึ้นไป 7% ด้วยมูลค่า 800 ล้านบาท “โมนิก้า” ถึงกล้าพูดเต็มปากเต็มคำว่า VI..VI เริ่มทำงานอีกครั้ง (พวกไวไว) ไม่รีบฉวยโอกาสแบบนี้ไว้ อย่ามาเสียใจภายหลังนะคะ

*เหมือนกับการปรับตัวขึ้นวันละนิดวันละหน่อยอของหุ้น SUPER ทั้งหลายทั้งปวงก็มาจากเรื่องโรงไฟฟ้าที่ประกาศออกมาปาวๆ บวกกับหุ้นกำลังเทคตัวขึ้นรอบใหม่ จึงมีคนกระโดดเข้ามาร่วมขบวนรถด่วนเที่ยวนี้เป็นจำนวนมาก จนวานนี้หุ้นขึ้นมาปิดที่ 1.83บาท บวกไป 0.08บาท หรือขึ้นไป 4.60% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 520 ล้านบาท  มันสะท้อนถึงกระแสนิยมได้เป็นอย่างดี..ส่วนวันนี้จะเป็นอย่างไร ต้องตามไปดูกันเอาเอง “โมนิก้า” พูดอะไรได้ไม่มากหรอก เดี๋ยวเขาจะหาว่า ชี้นำมากเกินไป..อิอิอิ

*ย้ำกันอีกครั้งว่า หากนักลงทุนขาดข้อมูลที่บรรยายถึงเหตุการณ์ต่างๆ อย่างละเอียด ก็ควรจะมาหาข้อมูลในงานสัมมนาของ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ในวันที่ 22 ส.ค. 58 ที่จัดขึ้น ณ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งในวันนั้นจะมีข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการลงทุนในช่วงโค้งสุดท้ายปี 58 และยังเปิดโอกาสให้ซักถามนักวิเคราะห์ระดับเทพอีกด้วย จึงอยากเชิญชวนทุกคนที่อยากพลิกวิกฤติเป็นโอกาส ควรจะมาร่วมงานสัมมนาในครั้งนี้..เดี๋ยวจะหาว่า มีอะไรดีแล้วไม่บอกนะค่ะ



** ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดร่วง 162.61 จุด หลังเฟดกังวลแนวโน้มศก. **

          สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (20 ส.ค. 58)--ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (19 ส.ค.) หลังจากรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) บ่งชี้ว่า เจ้าหน้าที่เฟดได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจทั่วโลก นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน
          ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,348.73 จุด ร่วงลง 162.61 จุด หรือ -0.93% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,019.05 จุด ลดลง 40.30 จุด หรือ -0.80% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,079.61 จุด ลดลง 17.31 จุด หรือ -0.83%
          ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงตั้งแต่ตลาดเปิดทำการ หลังจากรายงานการประชุมประจำวันที่ 28-29 ก.ค.ซึ่งเฟดเผยแพร่เมื่อวานนั้น บ่งชี้ว่า เจ้าหน้าที่เฟดได้แสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐและเศรษฐกิจทั่วโลก แม้ว่าตลาดแรงงานของสหรัฐส่งสัญญาณฟื้นตัวขึ้นก็ตาม
          อย่างไรก็ดี การที่เฟดไม่ได้ส่งสัญญาณในเรื่องเวลาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้น ได้ช่วยสกัดแรงลบในตลาด หลังจากที่ดาวโจนส์ดิ่งลงรุนแรงถึง 216.60 จุด หรือ 1.23% ในระหว่างวัน 
          ขณะที่นักวิเคราะห์บางคนมองว่า เมื่อพิจารณาจากรายงานการประชุมดังกล่าวแล้ว โอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย.นั้น มีน้อยลง
          นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยหุ้นเชฟรอน และหุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลงอย่างหนัก หลังจากราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปรับตัวลดลง อันเนื่องมาจากรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ที่ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐพุ่งขึ้นเกินคาดในสัปดาห์ที่แล้ว
          นักวิเคราะห์จากคอมเมริซ์แบงก์ เอจี คาดว่า ความวิตกเกี่ยวกับเศรษฐกิจจีนจะฉุดราคาน้ำมัน WTI ลงสู่ช่วง 30 ดอลลาร์ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทไลพาว ออยล์ แอสโซซิเอทส์ มองว่า ราคาน้ำมันจะยังคงเผชิญแรงกดดันจนถึงเดือนมี.ค.ปีหน้า โดยคาดว่าราคาจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ 32-34 ดอลลาร์ในอีก 6 เดือนข้างหน้า
          ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยล่าสุดนั้น  กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน โดยเป็นการปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกัน ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.2% 
          นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์, ยอดขายบ้านมือสองเดือนก.ค., ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนก.ค.จาก Conference Board, ผลสำรวจแนวโน้มธุรกิจเดือนส.ค.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นเดือนส.ค.         

          
ที่มา : อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช
Share on Google Plus

About Admin

This is a short description in the author block about the author. You edit it by entering text in the "Biographical Info" field in the user admin panel.
    Blogger Comment
    Facebook Comment

0 comments :

Post a Comment